เรียนทำอาหาร

คอร์สเรียนทำอาหารแบบลัด ๆ วิธีทำน้ำสต๊อกให้ใส หวานน้ำต้มกระดูก

0 Comments

เรียนทำอาหาร

เรียกได้ว่า น้ำสต๊อก เป็นไอเทมที่ต้องมีติดครัวไว้เลยทีเดียว เพราะเปรียบเสมือนเป็นน้ำซุปวิเศษ ที่ช่วยปรุงทุกเมนูอาหารให้มีรสชาติกลมกล่อมได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าให้พูดถึงวิธีการทำนี่สิ หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าต้องใช้เวลาในการทำนาน และต้องเตรียมวัตถุดิบหลายอย่าง จนรู้สึกถอดใจ หรือบางคนก็อยากจะไปสมัครคอร์สเรียนทำอาหารเพื่อเรียนรู้วิธีการทำน้ำสต๊อกกันเลยทีเดียว 

แต่ถ้าหากคุณได้มาเห็นบทความนี้แล้ว เพียงแค่อ่านจนจบ ก็จะได้วิธีลัดในการทำน้ำสต๊อก ให้ซุปใส รสชาติหวานน้ำต้มกระดูก ที่ไม่เหมือนใครอย่างแน่นอน

เรียนทำอาหาร ทำน้ำสต๊อกจบได้ในบทความเดียว 

น้ำสต๊อกตามแบบฉบับ ต้องมีน้ำที่ใส ให้รสชาติหวานน้ำต้มกระดูก มีความกลมกล่อม และสามารถเข้าได้กับทุกเมนู ซึ่งถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ยังไม่เคยทำได้สำเร็จ มาเรียนทำอาหารที่มาพร้อมเคล็ดลับในการเตรียมวัตถุดิบ และขั้นตอนการทำน้ำสต๊อกง่าย ๆ จากบทความนี้ได้เลย

วัตถุดิบที่สำคัญในการทำน้ำสต๊อก

  1. กระดูกสันหลังหมู 1 กิโลกรัม
  2. เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ
  3. น้ำสะอาด 2 ลิตร
  4. รากผักชี 1 – 2 ราก
  5. พริกไทยดำ ตามชอบ
  6. หัวไชเท้า 1 หัว
  7. ผักกาดขาว 1 หัว

ขั้นตอนการทำน้ำสต๊อก ให้หวานน้ำต้มกระดูก

  1. นำเกลือมาล้างกับกระดูกสันหลังหมู ประมาณ 2 – 3 น้ำ จนกว่ากระดูกหมูจะสะอาด (สังเกตที่น้ำ ให้ล้างจนกว่าน้ำจะใส ไม่ขุ่น เป็นเคล็ดลับในการกำจัดมันที่ติดมากับกระดูกหมู ช่วยให้น้ำสต๊อกใส)
  2. นำกระดูกหมูที่ล้างเสร็จแล้ว ลงไปต้มในน้ำสะอาด โดยตั้งไฟแรงให้เดือด และค่อย ๆ ช้อนฟองไขมันออกเรื่อย ๆ เอาออกให้ได้มากที่สุด ซึ่งวิธีนี้เป็นหนึ่งในขั้นตอนการเรียนทำอาหารที่ใช้ในแทบจะทุกเมนูต้ม เพราะการช้อนฟองไขมันออก จะทำให้น้ำซุปใสได้นั่นเอง
  3. เปลี่ยนเป็นไฟกลาง ทุบรากผักชีและพริกไทยดำใส่ลงไป ตามด้วยผักกาดขาว และหัวไชเท้าที่หั่นเป็นชิ้นแล้วตามลงไปด้วย
  4. ใช้เวลาต้มไปประมาณ 1.30 – 2 ชั่วโมง หากมีฟองไขมันก็ช้อนออกไปด้วย ต้มจนเนื้อที่ติดมากับกระดูกหมูมีความเปื่อย และสีของน้ำสต๊อกจะค่อย ๆ ใสขึ้น (การใช้ไฟกลางในการต้มนาน ๆ จะช่วยให้น้ำสต๊อกมีสีใส ดูน่ารับประทาน)
  5. เมื่อวัตถุดิบทุกอย่างสุก น้ำสต๊อกมีสีใสอย่างที่ต้องการแล้ว ให้ปิดไฟ และกรองเอาแต่น้ำสต๊อกไปใช้ในการทำอาหารเมนูต่าง ๆ โดยอาจจะแบ่งใส่กล่องและแช่เย็น หรือแช่แข็งเพื่อให้เก็บไว้ได้นาน ส่วนกระดูกหมูและผักในหม้อ ก็สามารถนำไปทำอาหารต่อได้หลากหลายเมนู เช่น ต้มเล้งแซ่บ หรือต้มจืด เป็นต้น

น้ำสต๊อกเก็บได้นานแค่ไหน หากใช้ครั้งเดียวไม่หมด

หากน้ำสต๊อกใช้ไม่หมดในครั้งเดียว ก็ยังสามารถเก็บไว้ใช้ต่อได้ ส่วนระยะเวลาสำหรับการจัดเก็บ ขึ้นอยู่กับวิธีการจัดการ และทำได้ไม่ยากดังนี้

  1. กรองน้ำสต๊อกส่วนที่เหลือด้วยผ้าขาวบางอีกครั้ง โดยไม่ต้องคน
  2. เก็บใส่ภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด และแช่ในช่องธรรมดา สามารถเก็บได้ 2 – 3 วัน
  3. เก็บใส่ภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด และแช่ในช่องฟรีซ สามารถเก็บได้ประมาณ 3 – 6 เดือน
  4. อีกวิธีที่หลายคนนิยมคือ การแบ่งใส่ใช่บล็อกทำน้ำแข็งแล้วแช่ในช่องฟรีซ ซึ่งจะสามารถแบ่งมาใช้งานได้สะดวกขึ้น แต่จะเก็บได้ประมาณ 1 เดือน เนื่องจากไม่ได้มีการปิดผนึกอย่างมิดชิด

ทั้งนี้การเก็บรักษาน้ำสต๊อกสิ่งที่ต้องคำนึงถึงร่วมด้วยก็คือ “ภาชนะ” ที่ใส่ ควรจะใช้เป็นแบบฟู้ดเกรด มีมาตรฐานต่อการบรรจุอาหาร ปราศจากสารอันตรายต่าง ๆ  และหากต้องการแช่แข็งก็ควรใช้ภาชนะที่ทนความเย็นถึงระดับติดลบได้ จะทำให้ปลอดภัยเมื่อนำมาบริโภค

เห็นไหมว่าคอร์สเรียนทำอาหารทำน้ำสต๊อกให้มีสีใส และมีรสชาติหวานน้ำต้มกระดูกของเรา ทำไม่ยากเลย เคล็ดลับอยู่ที่การล้างกระดูกหมูให้สะอาดและใช้ไฟกลางหลังจากช้อนฟองไขมันเสร็จแล้ว และต้องใช้ไฟกลางตลอดเวลาในการต้ม นอกจากนี้คุณยังสามารถปรุงรสชาติได้ตามชอบ เช่น การใส่ซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส พริกไทยป่น หรือผักต่าง ๆ ที่ชื่นชอบ เป็นต้น

Related Posts

อาหารสำหรับสาวๆ

อาหารสำหรับสาวๆ วัย 30 ที่คุณควรทานเพื่อสุขภาพที่ดี

อาหาร คือ ปัจจัยที่ 5 ที่ทุกคนคงทราบกันดี เราต้องกินอาหารอย่างน้อย 3 มื้ออยู่แล้ว และในแต่ล่ะช่วงวัยก็ต้องการอาหารที่แตกต่างกัน เพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรง…

6 อาหารไทยที่ต่างชาติชื่นชอบ ความอร่อยตำรับไทยที่มัดใจคนทั่วโลก

              “อาหารไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก” ประโยคนี้ยังคงใช้ได้ดีอยู่เสมอ ด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากอาหารชาติอื่น ๆ ความกลมกล่อมครบรส ประกอบกับกลิ่นเครื่องแกงตำรับไทยที่ไม่ฉุนมาก ทำให้หลายต่อหลายเมนูกลายเป็นเมนูโปรดที่มัดใจชาวต่างชาติเสียอยู่มัด ชนิดที่ต้องหาโอกาสบินกลับมากินซ้ำที่ไทยเลยก็ว่าได้ เรามาดูกันดีกว่า…

อาหารบำรุงเลือด

อาหารบำรุงเลือด ป้องกันโรคโลหิตจาง มีอะไรบ้าง

โรคโลหิตจาง คือ การที่มีเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ ทำให้การนำออกซิเจนไปสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำได้น้อยลง ถ้าโลหิตจางน้อยๆ ก็ไม่ส่งผลอะไรต่อร่างกายมากนัก แต่ถ้าเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้เสียเลือดกะทันหันแบบนี้ก็ส่งผลต่อร่างกายได้ เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะมาพูดถึงอาหารบำรุงเลือดกัน ว่ามีอะไรบ้าง…